Browsed by
เดือน: กรกฎาคม 2555

ลุยญี่ปุ่นกับโตเกียวยูกุตอนที่ 3

ลุยญี่ปุ่นกับโตเกียวยูกุตอนที่ 3

ดร.ฟุกุโรอุ ขอแนะนำบทความท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นสนุกๆตอนที่ 3 โดย designil
ตอน “ตะลุยปราสาทโอซาก้า กระเช้าลอยฟ้า ไปหาคุณกูลิโกะ”
osaka-640x360หลังจากตื่นมาแล้วก็ล้างหน้าแปรงฟันครับ ไม่อาบน้ำ เพราะอาบทีละ 100 เยน เลยตัดสินใจว่าจะอาบตอนกลางคืนทีเดียวพอครับ ประกอบกับอากาศเย็นสบายดี เปิดกระจกนอนได้สบาย ๆ เหงื่อไม่ออกครับ (แต่ผมก็คิดว่าอาบน้ำตอนเช้ามันดีกว่านะ สดชื่นดี)
วันนี้ออกจากโรงแรม (หรือรูหนู = =) ประมาณ 9 โมงกว่าครับ นั่งรถไฟไปสถานี Tennoji ที่ห่างจากโรงแรมสถานีเดียวเพื่อไปซื้อตั๋ว Osaka Unlimited Pass ครับ ตั๋วนี้ได้รับการแนะนำจากมามี้ @ncpeak ว่าคุ้มสุด ๆ แค่เอาไปนั่งเรือ Santa Maria ตรง Tempozan ฟรี จากราคาจริง 1500 เยนก็คุ้มแล้ว (ตั๋วราคา 2000, 2700 เยนครับ แบบ 1, 2 วัน)
พอไปถึงสถานี Tennoji ก็เดินออกจากที่ตรวจตั๋ว เลี้ยวซ้ายไปประมาณ 100 เมตรก็จะถึง Tourist Center ครับ เป็นที่ให้บริการนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ปกติเจ้าหน้าที่ที่นี่จะพูดอังกฤษได้ และมีแผนที่ + แผ่นพับแนะนำการท่องเที่ยวให้ด้วย เพราะงั้นถ้าเราอยากได้อะไร หรืออยากถามอะไรก็ให้เช็คว่า Tourist Center ตั้งอยู่ตรงไหนบ้างก็พอครับ (ปกติจะอยู่ตึกเดียวกับสถานีรถไฟ)
หลังจากซื้อ Osaka Unlimited Pass แบบ 2 วันเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็อธิบายให้ว่ามีที่ไหนน่าไปบ้าง แล้วควรเดินทางจากอันไหนไปอันไหนก่อน ซึ่งที่เค้าแนะนำมาก็คือ ปราสาทโอซาก้า, Tempozan (มีกระเช้าลอยฟ้ากับเรือ Santa Maria), Floating Garden (ตึกชมวิว) แล้วก็ Onsen (อาบน้ำร้อนแบบญี่ปุ่น) ครับ
บัตรนี้จะสามารถเข้าสถานที่ต่าง ๆ ได้ฟรี 20 ที่ ตามลิงค์นี้เลยครับ: http://www.osaka-info.jp/osp/en/free/free.html
ด้วยความหิวโหยก็เลยซัดข้าวกล่องที่ 7-11 แถวนั้นไปก่อน 1 กล่อง เพราะคิดว่าอาหารแถวที่ท่องเที่ยวน่าจะแพงครับ
ผมเช็คแผนที่แล้วเห็นว่าปราสาทโอซาก้านั่งรถไฟ JR สาย Osaka Loop Line ไปประมาณ 5-6 สถานีก็ถึง ลงที่ Osakajo-koen (แปลว่า สวนปราสาทโอซาก้า.. มั้งนะ) เลยตัดสินใจเริ่มเที่ยวจากปราสาทโอซาก้า

ตะลุยปราสาทโอซาก้า Osakajo
osaka2พอลงจากสถานีรถไฟแล้วก็จะเห็นต้นไม้เต็มไปหมด แต่ไม่เห็นปราสาทครับ ต้องเดินเข้าไปอีกหน่อย ตามคนเยอะ ๆ ไปเดี๋ยวก็ถึง (เราเที่ยวแบบ stalker ครับ 555) ซึ่งก็จะเจอประตูใหญ่ ๆ สลับกับสวนไปเรื่อย ๆ เห็นคนมาวิ่งจอกกิ้งกันด้วยครับ = =? เพราะมันกว้างมาก จนในที่สุดก็เห็นปราสาทโอซาก้า (จะร้องไห้ T__T)

ปราสาทโอซาก้าแบบไกลๆ
รอบปราสาทมีคลองครับ แล้วก็มีกำแพงสูง ๆ คาดว่าน่าจะเหมือนสมัยพระเจ้าตากสินที่ขุดคลองรอบเมืองให้เข้ามาตียาก (อันนี้มั่วนะครับ) ก็ต้องเดินข้ามสะพานเข้าไปถึงตัวปราสาท
พอไปถึงทางขึ้นปราสาทก็ต้องซื้อตั๋วเข้าไปครับ ซึ่งผมก็ใช้ Osaka unlimited pass แลกตั๋วเข้า (เข้าได้สถานที่ละ 1 ครั้งครับ) พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ ปราสาทก็สงสัยว่า เอ๊ะ ทำไมปราสาทมันเล็กกว่าที่คิดไว้
ที่ชั้น 1 ของปราสาทจะมีเคาน์เตอร์ให้ยืมเครื่องอธิบายจุดต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษได้ฟรี โดยเครื่องจะเป็นสีดำ ๆ แล้วก็มีหูฟังให้เราเอามาใส่ จากนั้นแต่ละจุดในปราสาทจะมีตัวเลขกำกับไว้ เราก็กดตัวเลขบนเครื่องแล้วฟังเสียงอธิบายเลยครับ
ปราสาทนี้มี 7 ชั้น การเดินที่เค้าแนะนำคือขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุด แล้วค่อย ๆ เดินลงมาทีละชั้นครับ
พอขึ้นไปชั้นบนสุดก็ได้ยินภาษาไทย อ้าว เจอคนไทยซะงั้น (แต่เหมือนจะมากันเอง ไม่ใช่กรุ๊ปทัวร์) ชั้นบนสุดเป็นจุดชมวิวครับ โดยจะมี 4 ทิศซึ่งเครื่องที่ยืมมาก็จะบอกว่าแต่ละด้านมองไปจะเห็นอะไรบ้าง
จากนั้นก็เดินลงมา ดูทีละชั้น จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับปราสาทแห่งนี้ และประวัติของเจ้าของปราสาทที่ชื่อโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ครับ คนนี้เป็นคนรวบรวมประเทศญี่ปุ่นเป็นปึกแผ่น และสร้างปราสาทนี้ขึ้นมา
โดยหลังจากที่ฮิเดโยชิตายไป ลูกชายของเค้าชื่อ ฮิเดโยริ ก็ขึ้นมาแทนครับ แต่ด้วยความที่เพิ่งอายุ 5 ขวบเท่านั้น อำนาจเลยตกอยู่ในมือของข้าราชการคนอื่นแทน (นึกถึงหนังไทยเรื่องนึงเลยครับ น่าจะสุริโยไท)
ปราสาทโอซาก้าถูก โทกุกาวะ อิเอยาสุ ตีแตกครับ ซึ่งปราสาทก็ถูกเผาทิ้งไป ปราสาทในปัจจุบันเลยเป็นปราสาทที่ถูกสร้างมาเลียนแบบของจริงนั่นเอง (แต่ขนาดเล็กกว่า) นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมปราสาทโอซาก้าตอนนี้จึงดูเล็ก ๆ กว่าที่ควรจะเป็นครับ

บรรยากาศในปราสาท Osaka
osaka3พอลงมาถึงชั้น 3 เค้ามีให้เช่าชุดสมัยเอโดะใส่ถ่ายรูปด้วย แล้วก็มีที่กระดาษ + ที่ปั๊มเป็นตราปราสาท วันนี้มีเด็กประถมมาเที่ยวเยอะมากครับ ก็ต่อแถวปั๊มตราปราสาทกันใหญ่เลย (พอเทียวไปเรื่อย ๆ จะพบว่าที่เที่ยวทุกที่มีเด็กมาทัศนศึกษาแทบทุกที่เลย = =? อะไรจะว่างกันขนาดนั้น)
หลังจากออกมาจากปราสาทโอซาก้าพบว่าแดดร้อนมาก ๆ ครับ (แน่ละ เดินตอนเที่ยง) ก็เลยไปหยุดซื้อไอติมแถวนั้นครับ มีซุ้มขายของกินอยู่ ผมกินไอติมโคนที่โคนทำจากแป้งเครป อร่อยสุด ๆ ครับ T___T มาโตเกียวหากินไม่ได้แล้ว เสียดายมาก ๆ เลย
ต่อจากปราสาทโอซาก้าก็เดินออกจากสวนแล้วเข้าโซนตัวเมืองครับ บรรยากาศนี่หน้ามือเป็นหลังเท้าเลย มีถนนกับตึกเต็มไปหมด สถานที่ที่จะไปต่อคือ Osaka Museum of History ครับ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากปราสาท
ตึกนี้จะตั้งอยู่หน้าตึก NHK เลยครับ หาได้ง่ายมาก ตึกสีเหลืองสวยงาม แถมมีหลายชั้นให้เดินกันจนเมื่อยอีกด้วยครับ

ไอติมแป้งเครป อร่อยสุด ๆ
osaka4ด้านในพิพิธภัณฑ์ก็จะโชว์บ้านเรือนเก่า ๆ ของญี่ปุ่น การอยู่อาศัยของชาวญี่ปุ่น และเศษซากถ้วยชามที่เค้าขุดพบจากใต้ดินครับ ซึ่งก็เดินเอาเพลิน ๆ ได้แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจมากนัก
หลังจากออกมาจากพิพิธภัณฑ์ก็มาหาข้าวเที่ยงกินครับ ตอนนั้นประมาณบ่ายโมงกว่าแล้ว หิวมาก ๆ เลยเดินหาของกินกันแถวนั้นครับ ซึ่งแต่ละร้านก็ราคาโหดร้ายใช้ได้ จานนึง 700-1000 เยน ครับ (สมกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว)
สุดท้ายขี้เกียจเดินหาแล้ว ก็เลยเข้าไปร้านนึง เป็นร้านเทมปุระครับ เซ็ตละ 700-800 เยน ผมสั่งข้าวหน้าไข่ + เทมปุระกุ้ง อร่อยใช้ได้เลยครับ
ตอนวางแผนก่อนมาญี่ปุ่นผมเจอรูปตึกชมวิว Floating Garden ตอนกลางคืนครับ เค้าเปิดไฟสวยมาก เลยอยากไปตึกนี้ตอนเย็น ๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นเลยนั่งรถไฟใต้ดินไปเที่ยวแถว Osaka Station ก่อน ซึ่งตึกชมวิวจะอยู่แถว ๆ สถานีนี้ครับ
แถวนั้นมีห้างที่ชื่อว่า HEP-Five ครับ ซึ่งบนชั้น 5 ของตึกเค้าทำกระเช้าลอยฟ้าสีแดงเอาไว้ แน่นอนว่าค่าขึ้นรวมอยู่ในบัตร Osaka Unlimited Pass ด้วย พวกผมก็เลยไปนั่งฆ่าเวลากันครับ โดยก่อนหน้านั้นได้ผ่านตึกที่มีขาย Kitkat ชาเขียว ขนมในตำนานที่คนฝากซื้อกันเยอะมาก เลยแชร์กันซื้อมากินบนกระเช้าลอยฟ้าเลยครับ
วิวบนกระเช้าลอยฟ้านี่ต้องบอกว่ายังสูงไม่พอครับ เพราะแถวนี้อยู่กลางเมือง Osaka เลยมีตึกสูงเยอะมาก ปรากฏว่านั่งไปเห็นแต่ตึกครับ = =? ถ้าเสียตังค์แยกนี่ไม่คุ้มมาก ๆ
ก่อนจะขึ้นกระเช้าเค้าถ่ายรูปหมู่ให้ด้วยครับ ตอนลงมาเค้าจะใส่กรอบเอามาขายสวยงาม แน่นอนว่าผู้ชาย 3 คนก็ไม่ซื้อแน่นอนครับ เดินผ่านไปแบบแอบสงสาร เพราะเค้าปรินท์ออกมาเรียบร้อยแล้ว T____T (จะปรินท์ออกมาก่อนทำแมวไรครับบ)

แวะชม Floating Garden Observatory หรือ Umeda Sky Building

osaka5ตอนนั้นเริ่มเย็นแล้ว เลยหาทางเดินไป Floating Garden ซึ่งหลังจากเดินไปดูแผนที่ไป ถามทางไป มาประมาณครึ่งชม.ก็ปรากฏว่า หลงทาง ครับ T[]T ทัวร์ backpack รอบนี้เดินจนขาแข็งแรงกันทุกคนเพราะหลงบ่อยแบบนี้แหละครับ = =?
สุดท้ายเลยถามทางผู้ชายคนญี่ปุ่นคนนึง ซึ่งเค้าก็ใจดีเดินมาส่งจนถึงอุโมงค์ที่มันทะลุไปตึก Floating Garden ได้ T/\T (เค้าบอกว่าเค้าต้องเดินมาขึ้นรถเมล์แถวนี้อยู่แล้ว) คนญี่ปุ่นนี่ใจดีกับนักท่องเที่ยวจริง ๆ ครับ

Floating Garden Observatory จากด้านล่าง
เสียดายว่าไปถึงตอนยังไม่มืด ตึกก็เลยยังไม่เปิดไฟครับ แต่ขนาดไม่เปิดไฟยังดูดีเลยครับ ผมว่าเค้าออกแบบตึกมาได้สวยมาก ๆๆๆๆ
ตึกนี้จะมีส่วนที่เป็นสำนักงานด้วยครับ การจะขึ้นไปส่วนจุดชมวิวจะต้องขึ้นลิฟต์พิเศษ ซึ่งจะจอดเฉพาะชั้น 22, 40 ตอนที่ผมขึ้นไปชั้น 22 ซึ่งเป็นทางเดินเชื่อม 2 ตึกแบบใส ๆ เค้าไม่ให้จอดครับ ก็เลยไปโผล่ชั้น 40 เลย (ชั้นจริง ๆ คือ 40 กว่าครับ แต่จำตัวเลขไม่ได้)
จากชั้น 40 จะสามารถดูวิวได้ครับ มีแต่คู่รักมากันเต็มเลย (แล้วผู้ชาย 3 คนนี่คืออะไร T___T) แต่จะมีส่วนที่ต้องซื้อตั๋วเพื่อขึ้นไปชั้นบนสุดครับ เป็นจุดชมวิวแบบเปิดโล่งเลย
ก่อนจะขึ้นไปชั้นบนสุด เค้ามีกิจกรรมให้เขียนคำอธิษฐานของเราลงในกระดาษ แล้วเอาไปผูกในจุดที่เค้าจัดไว้ครับ ซึ่งจะมีกระดาษหลายสีแบ่งตามหมวดหมู่คำอธิษฐาน เช่น ความรัก ความสำเร็จในชีวิต หรือสุขภาพ
พอเขียนเสร็จพวกผมก็ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุด เป็นจุดชมวิวเปิดโล่ง ซึงบรรยากาศดีมาก ๆ มองเห็นวิวทิวทัศน์รอบ ๆ เนื่องจากตอนนั้นเย็นแล้วเลยเห็นท้องฟ้าเป็นสีส้ม สวยมาก ๆ ครับ อากาศก็เย็นสบายดีด้วย
ผมถือโอกาสลองแอพใน iPhone ที่เอาไว้ถ่ายแบบ Panorama ไปด้วย (จริง ๆ คือเห็นเพื่อนใช้เลยเอามาใช้บ้าง 555)
อันนี้คือรูปที่ถ่ายจากแอพ Panorama ครับผม (รูปแอบเล็กไปหน่อย T__T)
osaka6
พาโนรามา วิวบน Floating Garden Observatory
หลังจากนั้นก็ลงมาเดินเล่นในชั้นที่ผูกคำอธิษฐานครับ มีเซียมซีให้เล่น ซึ่งตามประสานักท่องเที่ยวมีอะไรก็ลองหมดครับ 555+ ได้ใบ Very Good Fortune มาซะด้วย ^^ เซียมซีที่ญี่ปุ่นจะแบ่งเป็นขั้น ๆ ครับ เริ่มจากดีที่สุดคือ Very Good Fortune รองลงมาก็ Good Fortune แล้วก็เป็นธรรมดา ไปจนถึง Bad Fortune ครับ โดยในใบเซียมซีก็จะเขียนเกี่ยวกับคนรัก ของหาย สิ่งที่เราคาดหวัง อะไรพวกนี้
พอออกมาจากตึกชมวิว ก็พบว่ามันยังไม่ดึกมากนัก (ประมาณ 1 ทุ่ม) เลยไปเมืองที่เค้าบอกว่าตอนกลางคืนจะคึกคัก เรียกว่า Namba หรือ Dotonburi ครับ

พาชมแหล่งเที่ยวกลางคืนนัมบะ Namba
การเดินทางก็ไม่ยากครับ นั่ง Osaka Loop Line ไป (สาย Osaka Loop Line เป็นสายที่จะวิ่งเป็นวงกลม ผ่านจุดสำคัญต่าง ๆ ในโอซาก้าครับ) แล้วลงสถานี Imamiya ที่ผมลงผิดเมื่อวาน เสร็จแล้วจะมีรถไฟสายที่ตรงไป Namba เลย ชื่อ JR-Namba Line (แค่ 2-3 สถานีจาก Imamiya)
พอลงจากสถานีก็หาทางไปนัมบะครับ ซึ่งก็ถามทางคนแถวนั้นจนมาถึงจนได้ (แน่นอนว่าหลงไปก่อนแล้ว) พอเดินเข้าไปก็จะเจอร้านอาหารกับแกล้มอยู่ซ้ายขวา และมีถนนให้เดินหลายซอยครับ เป้าหมายของผมคือตรานักวิ่งกูลิโกะที่เค้าบอกว่าเป็นจุดสำคัญในนัมบะซึ่งจะมีคนเยอะมาก

ป้าย Dotonburi
osaka7
ก่อนจะเดินทางไปหาคุณกูลิโกะก็หาอะไรกินก่อนครับ หิวมาก ข้าวเย็นยังไม่ได้กินเลย เพื่อนอ่านในหนังสือท่องเที่ยวมาว่าแถวนี้เป็นต้นตำรับโอโคโนมิยากิ เลยอยากไปลองโดนสักครั้งครับ
ร้านอาหารแถวนี้มีแต่เมนูภาษาญี่ปุ่นครับ อ่านไม่ออก T___T เค้าเขียนเป็นตัวคันจิหวัด ๆ ด้วย ถ้าทั่วญี่ปุ่นมีแต่ตัวฮิรากานะชีวิตจะสบายขึ้นมากกก (ฝันไปเถอะ =[]=)
สุดท้ายไปเจอร้านเล็ก ๆ ร้านนึง ที่เขียนว่าโอโคโนมิยากิหน้าร้าน ตอนแรกไม่กล้าเข้าเพราะท่าทางน่ากลัว กลัวไปเจอร้านอาหารแพงแล้วโดนฟันเละครับ แต่ไหน ๆ ก็มาถึงนัมบะแล้ว ก็เลยเข้าไปจนได้
เปิดประตูไปก็ตกใจเลย เพราะร้านมัน เล็กมาก ๆๆๆๆ ครับ มีเคาน์เตอร์ทำอาหารด้านซ้าย ที่ผัดตรงกลาง แล้วก็ที่นั่งคนกินทางขวา เก้าอี้เรียงกันประมาณ 5-6 ตัว คือร้านนี้เข้าได้สูงสุด 5 คนก็แน่นร้านเดินไม่ได้แล้วครับ

ตอนเข้าไปไม่มีลูกค้าครับ แอบกลัวนิดนึง แต่บรรยากาศนี่เป็นแบบที่ตามหาเลย คือมีที่ผัดอยู่ด้านหน้าเรา ผัดกันให้เห็นไปเลย พนักงานในร้านมีคนเดียวคือคุณลุงเจ้าของร้าน ซึ่งคุยไปคุยมาเค้าก็บอกว่าเค้าเคยไปเที่ยวเชียงใหม่มาแล้วด้วย
ตอนแรกก็เริ่มจากโอโคโนมิยากิ 2 ที่ครับ ไม่รู้จะสั่งอันไหนเลยถามเค้าว่าเค้าแนะนำอะไร แล้วก็สั่งอันนั้นเลย ระหว่างรอผัดโอโคโนมิยากิคุณลุงก็แนะนำลูกชิ้นจีนครับ ด้วยความหิวเลยสั่งมารองท้องก่อน พอเทออกมาจากกล่องก็พบว่า? ขนมจีบนี่หว่า !!
แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรกินครับ กินขนมจีบร้อน ๆ (ผัดที่เดียวกับโอโคโนมิยากินี่ล่ะ) รองท้องก่อน ซึ่งคุณลุงก็แถมปลาไข่ให้กินฟรีคนละ 2 ตัวด้วย ใจดีมาก ๆ ครับ
ได้เห็นคุณลุงทำโอโคโนมิยากิข้างหน้ารู้สึกชอบมากครับ ดูพิถีพิถันในการทำอาหารดี

โอโคโนมิยากิฝีมือคุณลุง
osaka8การทำโอโคโนมิยากิเค้าจะใส่แป้งกับผักก่อน เสร็จแล้วใส่หมู ราดซอส โรยปลาแห้ง โปะไข่ เป็นอันเสร็จพิธีครับ ระหว่างนั้นเหล่านักท่องเที่ยวจากไทยแลนด์ก็ถ่ายรูปการทำอาหารของลุงไปด้วย
โอโคโนมิยากิร้อน ๆ อร่อยมากครับ เสียดายน้อยไปหน่อยเลยไม่ค่อยอิ่ม แต่เนื่องจากกลัวค่าอาหารบานปลายเลยไม่ได้สั่งอะไรเพิ่มครับ ซึงระหว่างกินก็จิบเบียร์ไปด้วย สุนทรีย์มาก ๆ (กินไปแก้วนิด ๆ ครับ ผมคออ่อนกินเยอะไม่ได้ T_T)
หลังจากกินโอโคโนมิยากิเสร็จก็เดินชมนัมบะครับ เดินไปเจอทั้งที่ชอบปปิ้ง และซอยที่มีแต่อาบอบนวด จะเขียน 18+ ไว้หน้าร้าน และมีคนใส่สูทสีดำยืนเฝ้าอยู่หน้าร้านทุกที่ครับ
เนื่องจากอ่านมาว่าพวกนี้เค้ามีกฏหมายไม่ให้บริการคนต่างชาติ เลยไม่ได้เข้าครับ (พูดเล่นครับ = = ถึงเข้าได้ก็ไม่เข้าหรอกนะ)
เสร็จแล้วก็เดินหลงทางอีกรอบครับ เพราะตามหาคุณกูลิโกะไม่เจอ (ชีวิตช่างยากลำบาก T__T) แล้วเนื่องจากมันไม่ใช่จุดที่สังเกตง่ายจากไกล ๆ ด้วย เลยหลงมันส์มากครับ ในแผนที่ก็เขียนไม่ดีด้วย
คุณกูลิโกะแห่งนัมบะ
osaka9สุดท้ายก็เดินไปเจอคุณกูลิโกะจนได้ ซึ่งก็ไม่เห็นคนเยอะอย่างที่เค้าบอกเลย สงสัยเพราะมืดแล้วด้วย ก็เลยเก็บภาพคุณกูลิโกะมา 1 ภาพเป็นอันเสร็จภารกิจ แล้วเดินทางกลับครับ (แอบเจ็บใจว่าจะเดินตามหาเป็นชั่วโมงทำไมกัน T__T)
ขากลับร้านตามทางเริ่มปิดกันหมดแล้วครับ ไปเจอเครปน่ากินมาก สนนราคา 300 ? 350 เยน เลยซื้อมากินคนละอัน (จะเห็นว่าทริปนี้หมดตังค์ไปกะการกินเยอะมาก
ที่สถานีรถไฟนัมบะจะมี Supermarket ใหญ่ที่มีข้าวกล่องลดราคาตอนดึก ๆ ครับ พวกผมเลยวางแผนว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาซื้อข้าวเย็นจากที่นี่เนี่ยแหละ ถูกดี
พอกลับมาโรงแรมคุยกันว่าพรุ่งนี้จะไปไหนดี เพื่อนก็เสนอว่า Osaka ไปเที่ยวพอแล้ว พรุ่งนี้ไปนาราดีกว่า เพราะเวลาน้อยมากเดี๋ยวไปเที่ยวไม่ครบ ก็เลยตัดสินใจทิ้ง Osaka Unlimited Pass ที่เที่ยวได้สองวัน เอาเวลาไปเยี่ยมชม Nara เมืองกวางครับ
คืนนั้นผมก็เช็คในเน็ต เซฟแผนที่ Nara ใส่มือถือเลย พบว่านาราเที่ยวได้ง่ายดี มีจุดสำคัญ ๆ อยู่ประมาณ 3 ที่ครับ หนึ่งในนั้นคือวัดหลวงพ่อโต Todaiji ซึ่งมีรูปปั้นพระพุทธเจ้าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นนั้นเอง
คราวหน้ามาดูกันครับว่าที่ Nara จะหลงทางกันสนุกขนาดไหน

โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น โตเกียวยูกุ ศรีราชา บทเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ 31

โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น โตเกียวยูกุ ศรีราชา บทเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ 31

by ดร. ถาวร งามตระกูลชล ????????????????
ผู้อำนวยการโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นโตกียวยูกุ ศรีราชา

tanabataการใช้สำนวน ?ตามที่?
???Ni tomonai / ???? Ni Taishite?

ประเทศไทยมีปัญหาความขัดแย้งด้านการเมืองมาโดยตลอด เหมือนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถขาดไปจากสังคมไทยได้ คู่ขัดแย้งทางการเมืองก็มักเป็นคู่เดิมๆที่มีมาตั้งแต่อดีต และปัญหาด้านการเมืองของไทยเหล่านี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนชาวญี่ปุ่นมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นปัจจัยหนึ่งต่อการตัดสินใจขยายการลงทุนในประเทศไทยนอกเหนือจากปัจจัยด้านค่าแรง เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2555 นี้ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองอีกครั้ง โดยมีตัวแสดงทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน นอกจากนี้ยังมีคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นตัวแสดงเพิ่มเติมในครั้งนี้อีกด้วย หนังสือพิมพ์ภาษาญี่ปุ่นฉบับหนึ่งลงข้อความว่า ???????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????Thai kenpou saibansho ga Kenpou kaisei shingi no goukensei wo kentou suru koto ni natta no wa, douan wo iken tosuru uttae ga atta koto ni yoru mono. Kono uttae ni tomonai,?Douan no kokkai shingi no sashitome ga meijirareta.(การที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไทยต้องมาวินิจฉัยความถูกต้องตามรัฐธรรมนูญในประเด็น “การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ” นั้น เกิดจากการยื่นร้องเรียนว่าการกระทำดังกล่าวผิดต่อรัฐธรรมนูญ ฉะนั้นคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงได้ออกคำสั่งหยุดระงับการพิจารณาการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวของสภาผู้แทนราษฎรตามที่มีการยื่นร้องเรียนมา) คนไทยส่วนหนึ่งเห็นว่าความขัดแย้งทางการเมืองเป็นสีสรรของสังคมไทย ตราบใดที่ไม่นำไปสู่ความเสียหายในระดับมหภาค แต่จากสำนวนข้างต้นทำให้ผู้เขียนอยากนำสำนวน ???Ni tomonai (แปลว่า ตามที่ /เนื่องจาก) ที่ใช้อยู่ในประโยคนี้มาคุยกัน คู่กับคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันอีกคำหนึ่งคือ ???? Ni Taishite?(แปลว่า ตามที่/ ต่อที่) ลองดูตัวอย่างวิธีการใช้ต่อไปนี้ครับ

1) ตัวอย่างการใช้สำนวน ???Ni tomonai (แปลว่า ตามที่ /เนื่องจาก)

????????????????????????
Seisanryo wa nouka no kareika ni tomonai, nennen genshou shiteimasu.
ปริมาณการผลิตลดลงเรื่อยๆในแต่ละปีตามการเปลี่ยนแปลงของอายุที่สูงขึ้นของเกษตรกร

??????????????????????????
Keizai kaifuku ni tomonai, seikatsu hogo wo ukeru shimin ga hetteimasu.
ประชากรที่รับการคุ้มครองด้านสวัสดิการความเป็นอยู่ลดจำนวนลงเรื่อยๆตามการฟื้นฟูเติบโตขึ้นของเศรษฐกิจ

IT????????????????????????????????
IT gijutsu no hattatsu ni tomonai, Intanetto wo riyou shita shoutorihiki ga fuete imasu.
การทำธุรกรรมทางการค้าที่ใช้อินเตอร์เนตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามการพัฒนาของเทคโนโลยีไอที

2) ตัวอย่างการใช้สำนวน???? Ni Taishite?(แปลว่า ตามที่/ ต่อที่)
???????????????????.
Kore wa sono shigoto ni taisuru hitsuyou jouken desu.
นี่คือเงื่อนไขที่จำเป็นตามเนื้อหางานนั้น

???????????????????????????????
Apisit san wa aru kensaku ni taisuru kensaku obushon wo nyuryoku shimasu.
คุณอภิสิทธิพิมพ์ป้อนข้อมูลทางเลือกในการการค้นหาลงไปตามการค้นหาที่มีอยู่

??????????????????????????????????
Jinrak san no purojieku wa tsuika kenkyu ni taishite ichiji teki ni saiyousaremasu.
โปรเจ็คของคุณยิ่งรักถูกนำมาใช้ชั่วคราวตามที่มีการวิจัยเพิ่มเติมมา

??จะเห็นว่าทั้ง 2 สำนวนวางในตำแหน่งเดียวกัน แต่สำนวนแรกนอกจากจะแปลว่า ?ตามที่? ยังสามารถใช้ในความว่า ?เนื่องจาก?ได้อีกด้วย ส่วนสำนวนหลังนอกจากแปลว่า ?ตามที่? แล้วยังให้ความหมายว่า ?ต่อ (สิ่งใดสิ่งหนึ่ง)?ได้ ตามแต่รูปแบบของประโยค ลองใช้ดูนะครับ แล้วพบกันใหม่ มีคำถามส่งมาที่ drthavorn@yahoo.com นะครับ
โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นโตเกียวยูกุ (ในการควบคุมดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ)
เลขที่ 28 ศรีราชานคร6 ศรีราชา ชลบุรี 20110 (ตรงข้ามรพ.พญาไท ศรีราชา) โทร 038-310315 แฟ็ค 038-310316 ฮอตไลน์ 081-8634424, 081-9455082 E-mail: tokyojuku@yahoo.com
หลักสูตรภาษาญี่ปุ่น ชั้นต้น กลาง สูง / บริการล่าม แปลเอกสาร / ?????????????

ลุยญี่ปุ่นกับโตเกียวยูกุตอนที่ 2: ลงเครื่อง ดำน้ำจากนาริตะไปโอซาก้า

ลุยญี่ปุ่นกับโตเกียวยูกุตอนที่ 2: ลงเครื่อง ดำน้ำจากนาริตะไปโอซาก้า

ดร.ฟุกุโรอุ แนะนำบทความท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นสนุกๆตอนที่ 2 โดย designil
chap2-640x360
หลังจากแพลนทริปเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาเดินทางจริงล่ะครับ วันเดินทางจริงนี่ตื่นเต้นสุด ๆ ว่าเครื่องบินจะดีเลย์มั้ย จะขึ้นรถไฟทันมั้ย ไปโอซาก้าทันมั้ย ถ้าไปไม่ทันจะทำยังไง OTL ซึ่งก็ขึ้นเครื่องตอน 6 โมงเช้าครับ (สายการบินอะไรไม่รู้ โคตรทรมานผู้โดยสาร T___T) ถึงสนามบินนาริตะประมาณบ่าย 2 ไม่มีดีเลย์

ตะกุยทางจากนาริตะสู่โอซาก้า

ก่อนอื่นจะต้องไปหาวิธีฝากกระเป๋าใหญ่ครับ เพราะผมจะไปเที่ยวโอซาก้าประมาณ 5 วันแล้วถึงกลับมาฝึกงานที่โตเกียว ซึ่งถ้าจะแบกกระเป๋าเดินทางไปกลับนี่คงลำบากมาก (เพราะต้องขึ้นลงรถไฟ) ตอนแรกเลยตัดสินใจว่าจะฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ที่สนามบินช่วงที่ไปเที่ยวครับ (แยกกระเป๋าสำหรับไปเที่ยวโอซาก้าออกมาเรียบร้อย)

ในสนามบินจะมีเคาน์เตอร์ที่เขียนว่า Baggage Storage อยู่ครับ คือรับฝากกระเป๋านั่นเอง คิดราคา 800 เยน/วัน สำหรับใบใหญ่ครับ ตอนแรกพี่สาวที่เคาน์เตอร์ก็ออกมายกกระเป๋าเข้าไปข้างในเรียบร้อย พอคุยไปคุยมาว่าผมอยากให้ไปส่งที่โรงแรมในโตเกียวเลยในวันอาทิตย์ (จะได้ไม่ต้องกลับสนามบินมาเอากระเป๋า) เค้าก็ไล่ไปอีกเคาน์เตอร์ที่อยู่คนละฝั่งสนามบินครับ มีชื่อว่า Baggage Transfer (จำชื่อได้ไม่ชัวร์นะครับ)

Ytm_Logo_88บริการส่งกระเป๋านี้เป็นของบริษัทแมวดำครับ ชื่อจริงว่า Kuroneko Yamato ซึ่งอยู่ในโตเกียวจะเห็นโลโก้แมวดำของบริษัทนี้อยู่เป็นระยะ ๆ ครับ บริษัทเค้าดังจริง

บริการส่งกระเป๋าของญี่ปุ่น เรียกสั้น ๆ ว่า บริษัทแมวดำ
บริการแมวดำนี่เรียกได้ว่าช่วยชีวิตเอาไว้มากครับ เพราะตอนแรกนึกว่าจะฝากกระเป๋าเอาไว้ที่ Baggage Storage ซึ่งรวม ๆ แล้วก็เสียค่าฝาก 5 วัน = 4000 เยน แถมค่านั่งรถกลับมาเอาอีก คงโดนไปเยอะ

พอคุยกับที่แมวดำ เอากระเป๋าไปชั่งแล้ว (ประมาณ 23 กิโล) แล้วก็บอกให้มาส่งที่โรงแรมในโตเกียววันอาทิตย์ เค้าก็คิดราคามาประมาณ 1600 เยน ครับ ถูกลงเยอะมาก T__Tb

พอฝากกระเป๋าเรียบร้อย ก็ลงบันไดมาแลก Japan Rail Pass ครับ ตั๋วรถไฟที่นั่ง JR ฟรีทุกที่อันนี้ต้องซื้อจากที่ไทยนะครับ จะได้เป็นคูปองเอามาแลกบัตรจริงที่ญี่ปุ่นครับ ซึ่งสถานที่แลกตั๋วก็หาง่ายดี อยู่ใกล้กับทางขึ้นรถไฟเลยครับ (สนนราคาประมาณ 12000 บาท เหมาะกับคนที่ต้องนั่งชินกันเซนไกล ๆ ครับ คุ้ม)

575858_10151225685734619_1717575145_nตั๋ว Japan Rail Pass จะเป็นกระดาษแข็งแผ่นประมาณฝ่ามือครับ ซึ่งเวลาจะเอาไปใช้แทนที่จะใช้ตั๋วรถไฟเสียบเข้าเครื่องอ่านตั๋ว (แบบขึ้น BTS) เราจะต้องโชว์ Japan Rail Pass ให้เจ้าหน้าที่แทนครับ ซึ่งก็แอบลำบากเหมือนกันเพราะแผ่นมันใหญ่ ต้องหยิบออกมาจากกระเป๋า T__T

ตั๋ว Japan Rail Pass
ถ้าจะขึ้นรถไฟชินกันเซน (เป็นรถไฟความเร็วสูงที่ใช้นั่งเวลาเดินทางไกล ๆ ครับ) จะสามารถจองที่นั่งได้ฟรีด้วย Japan Rail Pass ครับ หรือถ้าไม่ได้จองมันจะมีโบกี้ที่ไม่ต้องจองที่นั่ง ซึ่งก็ต้องไปแย่งกับเค้าเอาครับ ปกติตั๋วแบบไม่จองที่นั่งจะถูกกว่าตั๋วแบบจอง แต่เราจองได้ฟรีอยู่แล้วต้องใช้ให้คุ้ม

การจะไปนั่งชินกันเซนจะต้องเข้าเมืองก่อนครับ สนามบินนาริตะนี่แอบบ้านนอก ตอนนั่งรถไฟออกมาเต็มไปด้วยทุ่งนาฮะ OTL ซึ่งมันจะมีรถไฟความเร็วสูงที่ออกจากนาริตะเข้ามาในเมือง ชื่อ NEX (Narita Express) ปกติราคา 3000 เยน แต่ใช้ Japan Rail Pass ก็ฟรีอีกแล้วครับผม ^^

ผมต้องนั่งรถไฟประมาณ 5 ชม กว่าจะถึงโรงแรมที่พักในโอซาก้าครับ โดยเริ่มจากนั่ง NEX ไปลง Tokyo แล้วนั่ง Shinkansen ไปลงสถานี Osaka จากนั้นนั่งจากสถานี Osaka ไปสถานี Shin-Imamiya ซึ่งเป็นสถานีที่ตั้งของโรงแรมราคาถูกของเราครับ (ส่วนคุณภาพก็? เดี๋ยวมาดูกัน OTL)

ด้วยความที่เพิ่งเคยไป Backpack ครั้งแรกกันหมด ก็อาศัยการถามทางไปเรื่อย ๆ ด้วยภาษาอังกฤษปนญี่ปุ่น ตื่นเต้นดีครับ (อ๊ะเปล่า =[]=) เนื่องจากรีบมากเลยไม่ได้กินอะไรรองท้องมาเลย ระหว่างทางเลยไปร้านข้าวกล่องตรงสถานี คว้าของกินมาได้ 1 อย่าง นั่นคือ?

541954_10151225786309619_769674805_aอาหารมื้อแรกในญี่ปุ่น
มื้อแรกกินเอาถูกก่อนครับ เพราะข้าวกล่องที่สถานีโคตรแพงเลย T___T กล่องนึงพันกว่าเยน เลยหยิบอันนี้มาแบ่งกับเพื่อน กล่องละประมาณ 300 เยนครับ ตอนแรกไม่รู้ว่ามันคืออะไร พอเปิดออกมาเท่านั้นล่ะ? ขนมจีบ นี่หว่า OTL (กินที่ไทยก็ได้แบบนี้ 555)

ที่ญี่ปุ่นนี่แพ็กเกจสวยมาเป็นอันดับหนึ่งครับ (ของข้างในเป็นยังไงนี่อีกเรื่อง) อย่างในกล่องขนมจีบนี่ที่ใส่ซอสเป็นเซรามิกสวย ๆ เลยครับ ถ้าเป็นที่ไทยคงเป็นซองพลาสติกใส่ซอสธรรมดา

เส้นทางสายกุหลาบ (แบบมีหนาม) จากโอซาก้าไปโรงแรม

หลังจากนั่งรถไฟโคตรนาน ในที่สุดก็มาถึงสถานีโอซาก้าครับ แล้วก็เปลี่ยนสายรถไฟเพื่อไปโรงแรมแบบชิว ๆ ดูจากในแผนที่แล้วโรงแรมใกล้สถานีรถไฟครับ เดินลงมาต้องถึงเลย

ถึงสถานีปลายทางในที่สุดครับ ได้ยินเค้าบอกว่า อิมามิยะ อะไรสักอย่าง ก็เดินลงเลยครับ สถานีดูบ้านนอก ๆ อย่างที่คิดไว้ พอเดินออกจากประตูไปเท่านั้นแหละ? หันมาบอกเพื่อน ?ทำไมไม่เห็นเหมือนในเว็บเลยวะ?

คือมันไปโผล่ตรงไหนไม่รู้ครับ OTL หาอะไรที่หน้าตาเหมือนโรงแรมไม่เจอเลย เลยเอาแผนที่ไปถามคนแถวนั้น เค้าบอกว่ามันคนละสถานีกัน ต้องเดินไปทางนู้นนนน (แต่ไกลขนาดไหนไม่รู้ ฟังไม่ออก T__T) แถมคนที่ถามก็จิบสาเกอยู่ครับ ไม่รู้เชื่อได้มากแค่ไหน

มารู้ทีหลังว่ามันมีสถานีรถไฟ 2 สถานีชื่อคล้ายกัน คือ Shin-Imamiya กับ Imamiya ครับ ซึ่งรถไฟมันจะถึง Imamiya ก่อน แล้วสถานีต่อไปถึงจะเป็น Shin-Imamiya พวกผมดันไปลงสถานีแรกเลยหลงไปเลยครับ เพราะงั้นถ้าจะนั่งรถไฟไปไหนในญี่ปุ่นสังเกตชื่อสถานีรถไฟดี ๆ นะครับผม

ตอนนั้นก็ประมาณสามทุ่มกว่า ด้วยความที่ไม่รู้จะทำยังไงต่อ ก็เลยยกกระเป๋าเดินไปทางที่คนญี่ปุ่นเมา ๆ เค้าบอกครับ ไฟทางมีบ้างไม่มีบ้าง มืดน่ากลัวมาก (ดีที่เป็นญี่ปุ่นครับ พวกอาชญากรมีน้อยหน่อย เดินตอนกลางคืนค่อนข้างปลอดภัย) ซึ่งก็เดินไปตามแสงไฟ หาสถานีรถไฟอันต่อไปครับ

ตะลุยโรงแรมสุดหรู (เรอะ)

เดินประมาณ 20 นาทีมั่วไปมั่วมา ในที่สุดก็เจอสถานีรถไฟครับ สถานที่เริ่มคุ้นตาล่ะ (เหมือนในเว็บ Google Map ที่ดูมาก่อนหน้านี้) ในที่สุดก็ถึงโรงแรมครับ ขาแอบล้าเหมือนกัน แต่พอเจอโรงแรมก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นเยอะ T__T

เข้าไปเชคอินที่เคาเตอร์ครับ โดยเอาใบจองที่ปรินท์มาจากเว็บไปให้เค้าดู ที่เคาเตอร์มีกระดาษที่เขียนชื่อของเราไว้อยู่แล้วครับ (แปลว่าที่โรงแรมกับเว็บ co กันดีใช้ได้) ตอนแรกเสียว ๆ เหมือนกันว่ามันจะมีที่ไหนที่จองโรงแรมแบบไม่ต้องจ่ายตังค์ตอนจอง = =? ซึ่งมันก็มีจริง ๆ ซะด้วย

พอรับกุญแจเข้าไป ขึ้นไปชั้น 11 เปิดประตูห้องไปเท่านั้นแหละ?

ห้องในโรงแรม Sun Plaza
ทำไมห้องมันเล็กแบบนี้ =[]=! ห้องขนาด 4 เสื่อทาทามิครับ ขนาดประมาณ 2?2 เมตรถ้วน แล้วต้องนอน 3 คน พอวางที่นอน 3 อันเรียงติดกันที่ก็หมดพอดีเลยครับ T___T

391568_10151225685944619_1266204995_nตามที่เห็นในรูปคือเพื่อนจะนอนให้ดูว่าขนาดห้องมันใหญ่แค่ไหน = =? อันนี้พยายามถ่ายให้เห็นรอบ ๆ ที่สุดแล้ว แต่หลังติดประตูครับเลยถ่ายได้เท่าที่เห็น ห้องมันโคตรของโคตรเล็กเลยครับ สำหรับนอน 3 คนนะ

เวลานอนเสร็จก็จะเก็บที่นอนไปสองฝั่งแล้วเว้นตรงกลางไว้ครับ เอาไว้วางโต๊ะเล็ก ๆ กินข้าวได้ T____T แค่ฟังก็อนาถแล้วใช่มั้ยครับ (แต่มันเป็นเรื่องจริง)

ส่วนที่กากต่อมาคือห้องน้ำครับ ห้องพักไม่มีห้องน้ำในตัว (แน่ล่ะ ห้องกระจิ๊ดแค่นี้) เวลาจะเข้าห้องน้ำต้องเดินออกไปห้องน้ำที่เค้าเตรียมไว้ให้ ซึ่งจะมีให้แต่ละชั้น แยกชายหญิงครับ

ห้องอาบน้ำก็มี 2 ออพชั่นครับ แบบอาบรวมฟรีกับอาบหยอดเหรียญ อาบรวมนี่เปิด 5 โมงเย็น ? 4 ทุ่ม ซึ่งไม่เคยกลับโรงแรมมาทันอาบรวมเลยครับ T__T แต่ถึงกลับมาทันก็ไม่ค่อยกล้าอาบ = =? มันเป็นอาบแบบออนเซนครับ (แช่บ่อเดียวกันทุกคน)

ทุกคืนจะพึ่งพิงห้องอาบน้ำแบบหยอดเหรียญครับ ส่วนตอนเช้าไม่อาบนะ 555+ ค่าอาบน้ำคือ 5 นาที 100 เยน เปิดน้ำเท่าไรก็ได้ ถ้าปิดน้ำไปก็ยังนับเวลาอยู่ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าปิดน้ำยังนับเวลา ก็เลยเปิดแค่ตอนใช้แล้วรีบปิด นับเป็นความทรมานสุดยอดในการอาบน้ำเลยครับ T___T ซึ่งจะอาบเพลิน ๆ ก็ไม่ได้เพราะถ้าหมด 5 นาทีมันต้องเติมอีก 100 เยน จนกันพอดี (เพื่อนผมโดนไปเรียบร้อยวันแรก ๆ พอหลัง ๆ นี่โปร)

ทาโกยากิราคาถูก เหมาะกับนักท่องเที่ยวจน ๆ
คืนแรกพอมาถึงโรงแรมก็ต้อง Survey รอบ ๆ ที่พักก่อนครับ (ถึงขาจะแอบล้าก็เถอะ) เจอพวก Supermarket ดัง ๆ เช่น Lawson (คล้าย ๆ 7-11 ในไทยเลยครับ เจอทุกแยก) แล้วก็เจอร้านทาโกยากิที่ @ncpeak บอกว่าถูกมากกกกกกก เลยไปลองชิมมาครับ

582642_10151225686089619_127144372_nร้าน Takoyaki อันนี้ถูกจริงครับ สนนราคา 12 ลูก 300 เยน (ลูกละ 25 เยน) กินกันจนอิ่มแป้งเลยครับ (ไม่อยากเอารูปทาโกะมาลง เดี๋ยวคนอ่านบลอคนี้ตอนกลางดึกจะหิวกันฮะ)

ข้าง ๆ ร้านทาโกะมีห้างที่มีปาจิงโกะอยู่ครับ เพื่อนอยากลองเลยไปจัดสัก 1 เกม ซึ่งก็เล่นไม่เป็นครับ พนักงานเค้าก็มาแนะนำวิธีเล่นให้ โดยเล่น 1 เกมใช้เงิน 1000 เยนเลยทีเดียว (แอบแพง T___T)

ปาจิงโกะเป็นการยิงลูกเหล็กให้ลงรู แล้วเครื่องจะทำการสุ่มการ์ด 3 ใบครับ ถ้าสีเดียวกันรู้สึกมันจะลูกเหล็กเพิ่ม โดยเราเอาลูกเหล็กไปแลกเงินได้ (ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจวิธีเล่น อาจจะมั่ว ๆ ไปบ้างนะครับ 555)

สำหรับข้าวมื้อเย็น (หรือมื้อดึกก็ไม่รู้) ของวันนี้ก็จบที่ร้านข้าวกล่องราคาถูกหน่อยครับ เหมือนจะเป็นแบรนด์เฟรนไชน์ด้วย เพราะตอนไปเกียวโตก็เห็นแบรนด์นี้เหมือนกัน สนนราคาประมาณกล่องละ 500 เยนครับ เป็นข้าวหน้าต่าง ๆ ข้าวหน้าเนื้อ ข้าวหน้าของทอด อะไรพวกนี้

แพลนของวันพรุ่งนี้ คือ ไปซื้อตั๋ว Osaka Unlimited Pass ซึ่งเป็นตั๋วที่ใช้เที่ยวที่สำคัญ ๆ ในโอซาก้าได้ฟรีครับ โดยเหมาจ่ายในราคา 1 วัน 2000 เยน หรือ 2 วัน 2700 เยน ซึ่งพวกผมก็แพลนว่าพรุ่งนี้กับมะรืนจะเที่ยวด้วย Osaka Unlimited Pass ให้เต็มที่ครับ

สำหรับคนที่สนใจตั๋วนี้ ดูรายละเอียดที่นี่เลย: http://www.osaka-info.jp/osp/en/

ตอนต่อไปมาดูกันครับว่าเที่ยวญี่ปุ่นแล้วจะหลงมันส์ขนาดไหน !!

ลุยญี่ปุ่นกับโตเกียวยูกุตอนที่ 1: จัดกระเป๋า จองโรงแรม หาที่เที่ยวในญี่ปุ่น

ลุยญี่ปุ่นกับโตเกียวยูกุตอนที่ 1: จัดกระเป๋า จองโรงแรม หาที่เที่ยวในญี่ปุ่น

ดร.ฟุกุโรอุ แนะนำบทความท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นสนุกๆ โดย designil
chap1-640x360
รู้ว่าจะได้มาฝึกงานที่ญี่ปุ่นประมาณเดือนกว่า ๆ แต่เวลาที่เตรียมตัวจริง ๆ ประมาณ 1 อาทิตย์สุดท้าย = =? เอาจริง ๆ เรื่องจัดกระเป๋าไม่ได้ค่อยได้ทำอะไรมาก เพราะช่วงที่มาฝึกงานเป็นเดือนมิถุนา ? กรกฎา ซึ่งเป็นฤดูร้อน เค้าบอกว่าอากาศจะพอ ๆ กับไทย เลยหยิบเสื้อผ้าที่ไทยใส่กระเป๋ามาได้เลย

คุณแม่ก็ช่วยเตรียมอาหารมาเยอะมาก มีมาม่า 2 โหล น้ำพริก อาหารกระป๋องนิดหน่อย ประมาณว่าถ้าตังค์หมดซื้ออะไรไม่ได้ก็คงไม่อดตาย

สิ่งที่ลำบากที่สุดช่วงนี้คือการเตรียมตัวเที่ยวก่อนไปฝึกงาน เนื่องด้วยเพื่อน ๆ คุยกันว่าเดี๋ยวฝึกงานเสร็จคงไม่มีเวลาเที่ยว (เปิดเทอมพอดี) ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่นก่อนสัก 4-5 วัน ซึ่งตอนแรกก็แพลนไว้หลวม ๆ ว่าจะซื้อ Japan Rail Pass ราคา 12,000 บาทนิด ๆ แล้วไปเที่ยวสักที่ในญี่ปุ่น

JR Pass เป็นตั๋วที่สามารขึ้นรถไฟของบริษัท JR ไปที่ไหนก็ได้ในญี่ปุ่น ชินกันเซนก็ขึ้นได้ (ยกเว้นชินกันเซนแบบ NOZOMI ที่แพง + รอบวิ่งเยอะกว่าแบบปกติอีก = =?) ใช้ได้ 5 วัน สาเหตุที่ซื้อเพราะต้องนั่งชินกันเซน นั่งไป-กลับก็เกินราคาตั๋วแล้วครับ (ตอนนี้ค่าเงิน 100 เยน = 40 บาท โคตรแพง T__T)

หลังจากปรึกษาคุณพ่อที่เคยเป็นไกด์ที่ญี่ปุ่นมาก่อน พ่อบอกว่าไปใต้ดีกว่า ไปเหนือไม่น่าจะดีเพราะมีกัมมันตรังสีอยู่ (จากเหตุการณ์เตาปฏิกรณ์ระเบิดครั้งที่ผ่านมา) ก็เลยสรุปว่าโอเคไปแอ่วใต้ละกัน

ทางใต้ของญี่ปุ่นก็มีหลายเมือง (ใต้ในที่นี้หมายถึงใต้โตเกียวนะครับ OTL) ซึ่งเดินทางไกลพอสมควร ขนาดนั่งรถไฟชินกันเซน แล้วยังใช้เวลาหลายชั่วโมง เลยสรุปว่าจะไป Osaka เมืองชื่อดังในญี่ปุ่น (จริง ๆ คือได้ยินจากในการ์ตูน/หนังเยอะ) แล้วไปเที่ยวเมืองรอบ ๆ เช่น Kyoto, Nara อะไรพวกนี้ (ได้ยินชื่อเมืองจากการ์ตูนเหมือนกัน = =)

หลังจากนั้นผมก็ลิสต์ใส่กระดาษ แบ่งเป็นช่วงเช้ากับเย็นของแต่ละวัน แล้วก็ตามหาที่เที่ยวในอินเตอร์เน็ตไปพร้อมกับหาข้อมูลเรื่องการเดินทาง เพราะเรื่องเวลาสำคัญมากครับ ผมมีเวลาแค่ 4-5 วันเพราะงั้นถ้าพลาดรถไฟไปรอบนึงอาจจะเสียไปวันนึงเลย (วิธีหาที่เที่ยวอ่านได้ด้านล่างเลยนะครับ สำหรับคนที่อยากลองไป Backpack ดูบ้าง)

4040156472_409fc76963
เครื่องบินของผมจะถึงญี่ปุ่นตอนบ่าย 2 ครับ แล้วถ้านั่งเข้าเมืองไปขึ้นชินกันเซนจะใช้เวลาประมาณ 1 ชม แล้วต้องนั่งไปโอซาก้าอีก 3 ชม แล้วพอลงโอซาก้ากว่าจะไปถึงที่พักก็อีกประมาณ 1 ชม ครับ ถ้าขึ้นชินกันเซนทันรอบ 5 โมงเย็นจะถึงที่พักก็ 3 ทุ่มกว่าแล้ว

ตอนแรกพ่อกับแม่ก็แนะนำว่าน่าจะนอนโตเกียวสักวันก่อนค่อยไปโอซาก้าแบบชิว ๆ ตอนเช้า แต่ด้วยความกลัวว่าเวลาเที่ยวจะน้อยลง เลยตัดสินใจลุยไปแบบนี้แหละครับ (เอาจริง ๆ ก็แอบเสียว ๆ นะ)

ด้วยความที่ไม่เคยไปเที่ยวแบบแบ็กแพ็กเลย แล้วยังเป็นประเทศที่คนพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ (พวกผมก็พูดญี่ปุ่นไม่ค่อยได้ T___T) เลยมีความกลัวอย่างบอกไม่ถูกตอนก่อนไปครับ ซึ่งสุดท้ายด้วยความช่วยเหลือของมามี้ @ncpeak + พ่อแม่ ก็จัดทัวร์ออกมาได้เป็นแบบนี้ครับ

Day 1: (วันอังคาร) ลงเครื่อง ไปโอซาก้า

Day 2 & Day 3: (วันพุธ & พฤหัส) ซื้อบัตร Osaka Unlimited Pass (บัตรเหมาค่าเที่ยวที่ต่าง ๆ ในโอซาก้า) แล้วไปเที่ยวตามในบัตร

Day 4: (วันศุกร์) ไปเกียวโต

Day 5: (วันเสาร์) ไปนารา วัดพระใหญ่

Day 6: (วันอาทิตย์) กลับโตเกียว มานอนที่โตเกียว 1 คืนก่อนเข้าหอ

Day 7: (วันจันทร์) เข้าหอพัก เริ่มฝึกงาน

ซึ่งก็ต้องจองโรงแรมที่โอซาก้าสำหรับ Day 1 ? 5 ครับ ไปจองโรงแรมราคาถูกที่สุดในเว็บมา นอน 1 ห้อง 3 คน คนละ 1200 เยนต่อคืน (พวกผมไปกัน 3 คนครับ) ส่วนโรงแรมที่โตเกียวห้องละ 3 คนเหมือนกัน แบบถูกสุดเหมือนกัน แต่โดนไปคนละ 3000 เยนต่อคืนครับ T___T โตเกียวของแพงจริง

อ้อ อย่าเพิ่งคิดว่าโรงแรม 1200 เยนนี่ดีนะครับ เดี๋ยวมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่ามันเป็นยังไงบ้าง = =?

ต่อไปจะเป็นส่วนสำหรับคนที่อยากไป Backpack ครับ เป็นวิธีหาที่เที่ยวกับหาโรงแรม

[สำหรับคนจะไปเที่ยว] วิธีหาที่เที่ยว / วิธีการเดินทาง

พอชี้เป้าที่เที่ยวได้แล้ว ก็ได้เวลาตามหาสถานที่เที่ยวว่าแต่ละเมืองมันมีอะไรบ้าง เมืองไหนน่าไป และไปยังไงบ้าง

สำหรับการหาที่เที่ยว ผมยกให้เว็บ http://www.japan-guide.com/ เลยครับ (เว็บภาษาอังกฤษ) ข้อมูลในเว็บนี้เป๊ะมาก อยากรู้รายละเอียดที่เที่ยวที่ไหนก็เสิร์จได้เลย ปกติผมจะเสิร์จชื่อสถานที่จากใน Google ครับ แล้วมันจะขึ้นเว็บนี้มาเป็นเว็บแรก ๆ อยู่แล้ว

ในหน้ารายละเอียดของแต่ละเมือง เช่น Kyoto: http://www.japan-guide.com/e/e2158.html ก็จะมีรายชื่อที่เที่ยวในนั้นอยู่ รวมถึงจัดอันดับตามที่คนเที่ยวโหวตมาให้อีกด้วย

สมมติว่าเราอยากไปปราสาททอง Kinkakuji: http://www.japan-guide.com/e/e3908.html ในหน้ารายละเอียดสถานที่ เลื่อนหาจุดที่เขียนว่า How to get there เค้าจะอธิบายวิธีเดินทางไปจากจุดหลักต่าง ๆ เป็นตัวหนังสือ + รูปให้ดูเลยครับ

วิธีนี้ใช้กับที่เที่ยวได้ทุกเมืองเลยครับ แม้แต่เมืองหลวงอย่างโตเกียวก็ยังได้

ต่อไปขอแนะนำการหาวิธีการเดินทางอีกแบบนะครับ อันนี้เอาไว้หารถไฟที่ต้องนั่ง ผมใช้ตอนหาทางไป Osaka จาก Tokyo ครับ (เพราะเครื่องบินลงสนามบินนาริตะที่โตเกียว เลยต้องหาทางนั่งไปโอซาก้า T__T) เข้าไปที่เว็บนี้เลย http://www.hyperdia.com/en/ อ้อ ต้องใช้ IE เปิดนะครับ ไม่งั้นเว็บทำงานไม่ปกติ OTL

ตรง Search Condition จะมีช่อง From กับ To ครับ พิมพ์ชื่อของสถานีรถไฟที่เราเริ่มต้น กับสถานีปลายทาง แล้วกด Search เลย (ไม่รู้ชื่อสถานีไม่เป็นไรครับ เพราะชื่อสถานีมันจะเป็นชื่อเมืองอยู่แล้ว ส่วนใหญ่นะ เช่น Shinjuku, Harajuku, Osaka) เราจะได้ลิสต์การเดินทางว่าไปได้ทางไหนบ้าง ต้องเปลี่ยนรถไฟกี่รอบ นั่งจากสถานีไหนไปลงที่ไหน รวมถึงเวลาที่ใช้และค่ารถไฟด้วย สะดวกมาก ๆ ครับ

[สำหรับคนจะไปเที่ยว] การหาโรงแรมราคาถูก

เป็นที่ทราบกันดีว่าที่ญี่ปุ่นทุกอย่างแพงครับ โรงแรมมาตรฐานแน่นอนว่าแพงกว่าไทยชัวร์ ถ้าเราจะไปแบ็กแพ็กก็ต้องหาที่พักถูก ๆ ใช่มั้ยครับ ก่อนไปผมได้ติดต่อมามี้ @ncpeak ผู้ไปแบ็กแพ็กญี่ปุ่นมาแล้ว มามี้เขียนบลอคเกี่ยวกับการจองโรงแรมไว้ละเอียดมาก สามารถเข้าไปอ่านกันได้เลยครับ >>

วิธีการจองที่พักในญี่ปุ่นถูกๆผ่านเว็บ rakuten travel

จบแล้วครับสำหรับวันนี้ มาพูดคุยกันในส่วนคอมเม้นท์ได้นะครับ T___T (คนเขียนจะได้มีกะลังใจ 555)

เครดิตรูป จาก http://www.flickr.com/photos/26060279@N02/3334486989/ และ Daniel Hoherd (พอดีหารูปที่เข้ากับบลอคตอนนี้ไม่ได้ ;w;)